ตามที่ได้มีข่าวปรากฏในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องครม. อนุมัติงบกลาง 5,615 ล้านบาท เพิ่มประสิทธิการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้ง ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าข้อมูลดังกล่าว เป็นข้อมูลจริง
ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น จำนวน 5,615 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วง ปี 2565 จำนวน 2,525 รายการ ตามที่สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติเสนอ มีรายละเอียดดังนี้
1. กรมทรัพยากรน้ำบาดาลจำนวน 112 รายการ งบประมาณ 1,413ล้านบาท
2. กรมชลประทานจำนวน 621 โครงการ งบประมาณ 1,162 ล้านบาท
3. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจำนวน 670 โครงการ งบประมาณ 1,064 ล้านบาท
4. กรมทรัพยากรน้ำจำนวน 111 โครงการ งบประมาณ 972 ล้านบาท
5. องค์การบริหารส่วนจังหวัดจำนวน 497 โครงการ งบประมาณ 567 ล้านบาท
6. จังหวัดจำนวน 492 โครงการ งบประมาณ 355 ล้านบาท
7. กรมเจ้าท่าจำนวน 11 โครงการ งบประมาณ 49 ล้านบาท
8. เทศบาลเมืองจำนวน 9 โครงการ งบประมาณ 27 ล้านบาท
9. สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม จำนวน 2 โครงการ งบประมาณ 2.7 ล้านบาท
ทั้งนี้ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ(กอนช.) ระบุว่า มีพื้นที่เฝ้าระวังที่อาจเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำด้านอุปโภคบริโภคในเขตพื้นที่ให้บริการการประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 24 จังหวัด นอกเขตพื้นที่ให้บริการการประปาส่วนภูมิภาค (ประปาท้องถิ่น) จำนวน 50 จังหวัด และพื้นที่เกษตรกรรม นอกเขตชลประทานที่เพาะปลูกนารอบที่ 2 (นาปรัง)จำนวน 11 จังหวัด พื้นที่ปลูกพืชต่อเนื่อง(ไม้ผลที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ) จำนวน 4 จังหวัด
รวมทั้งพื้นที่ด้านคุณภาพน้ำ ที่ต้องเฝ้าระวังการรุกล้ำของน้ำเค็มที่อาจส่งผลกระทบต่อน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคจำนวน 5 จังหวัด จึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการรองรับสถานการณ์ขาดแคลนน้ำฤดูแล้งปี 2564/2565 จำนวน 9 มาตรการและโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อรองรับสถานการณ์ภัยแล้งและฝนทิ้งช่วงปี 2565 โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมแผนงานโครงการเร่งด่วนที่สามารถแก้ไขปัญหาภัยแล้งตามผลการประเมินพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงภาวะน้ำแล้ง ปี 2564/2565 ของกอนช.
ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.prd.go.th หรือโทร. 02 618 2323
