ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง กินสมุนไพรดองดึง รักษาโรคเกาต์อย่างปลอดภัย ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงกับโดย สำนักงานนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน
จากที่มีการแชร์เคล็ดลับรักษาโรคเกาต์ ด้วยการรับประทานสมุนไพรดองดึง ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ชี้แจงว่า ตามตำรายาไทยได้ใช้ส่วนหัวของดองดึงในการรักษาอาการปวดข้อจากโรคเกาต์ ซึ่งเหตุที่ดองดึงสามารถบรรเทาอาการปวดข้อได้เพราะดองดึงมีสารสาระสำคัญที่ชื่อว่า Colchicine แต่ถึงอย่างไรก็ตามในการรักษาอาการปวดข้อจากเกาต์ ใช้ปริมาณสารดังกล่าวน้อยมาก หากใช้ผิดขนาดเพียงเล็กน้อยจะทำให้เสียชีวิตได้ โดยโรคเกาต์เป็นอาการข้ออักเสบชนิดหนึ่ง เกิดจากการที่ร่างกายมีกรดยูริกที่มากเกินไป โดยภาวะกรดยูริกสูงนี้ สัมพันธ์กับภาวะอ้วน พันธุกรรมในครอบครัว ยาบางชนิด เช่นยาขับปัสสาวะ และยาแอสไพริน, โรคร่วม เช่น ความดันโลหิตสูง และอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เหล้า เบียร์ เครื่องในสัตว์ อาหารทะเล อาหารประเภทที่มีไขมันสูง สัตว์ปีก และสัตว์เนื้อแดง ส่วนใหญ่มักมีอาการปวดที่ข้อนิ้วหัวแม่โป้ง มักจะมีอาการข้อบวมแดง และปวดข้อฉับพลัน ซึ่งวิธีรักษาคือต้องลดกรดยูริกในเลือดด้วยยา และบรรเทาอาการปวดข้อฉับพลันด้วยยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์(NSAIDs) หรือใช้ยา Colchicine ซึ่งสมุนไพรดองดึง มีสารนี้ แต่การใช้ยาที่ผิดขนาดจะทำให้เสียชีวิตได้ โดยอาการที่บ่งบอกว่าเกิดพิษคือ คลื่นไส้อาเจียน ปวดแสบร้อนปากและคอ ปากชา คอแห้ง ปวดตัว ท้องเสียรุนแรงอุจจาระมีเลือดปน หายใจลำบาก หมดสติ และรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ใน 3-20 ชั่วโมง อาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นหลังรับประทานหัวดองดึงไปแล้ว 2 ชั่วโมง
ดังนั้นข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ต่อในขณะนี้ จึงเป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือโทร. 02 5907000
บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ดองดึงมีสาระสำคัญที่ชื่อว่า Colchicine ซึ่งเป็นสารที่ใช้รักษาโรคเกาต์ได้ แต่ไม่ควรนำสมุนไพรดองดึงมารักษาโรคเกาต์ด้วยตนเอง เพราะหากใช้ผิดขนาด อาจทำให้เสียชีวิตได้ ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนการใช้ยา
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
