Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

จำนวนผู้เข้าชม 29,688,095

ข่าวปลอม อย่าแชร์! รัฐบาลกู้เงินจนหนี้ท่วมการคลัง ไม่สามารถจัดการหนี้ได้

ตามที่มีการส่งต่อข้อความในประเด็นเรื่องรัฐบาลกู้เงินจนหนี้ท่วมการคลัง ไม่สามารถจัดการหนี้ได้ ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีที่มีส่งต่อเรื่องราวโดยระบุว่ารัฐบาลกู้เงินจนหนี้ท่วมการคลัง ไม่สามารถจัดการหนี้ได้ ทางกลุ่มสารนิเทศการคลัง กระทรวงการคลัง ได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้แจงว่าในภาวะปกติ กระทรวงการคลังจะกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณตามกฎหมายว่าด้วยการบริหารหนี้สาธารณะ ซึ่งเป็นการกู้เงินตามปกติเมื่อรัฐบาลต้องการดำเนินนโยบายการคลังแบบขยายตัว เพื่อสนับสนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเป็นการกู้เงินเพื่อการลงทุนมากกว่าร้อยละ 65 ของหนี้สาธารณะคงค้าง สำหรับในภาวะที่ไม่ปกติ การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมต่าง ๆ ของประเทศโดยเฉพาะภาคเอกชนหยุดชะงัก รัฐบาลเป็นเพียงภาคส่วนเดียวที่มีความสามารถในการใช้จ่ายและขับเคลื่อนเศรษฐกิจในช่วงวิกฤติ

ในอดีตเคยมีการกู้เงินโดยการตราพระราชกำหนดหลายฉบับ ตัวอย่างเช่น ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบสถาบันการเงินเป็นหลัก มิได้กระทบประชาชนทุกระดับ ทุกภาคส่วน อย่างการแพร่ระบาดของโควิดในครั้งนี้ แต่มีการกู้เงินรวมสูงถึง 1.28 ล้านล้านบาท จาก พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินและจัดหาเงินกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุน เพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ.2541 วงเงิน 500,000 ล้านบาท (FIDF1) และในปี พ.ศ. 2545 วงเงิน 780,000 ล้านบาท (FIDF3) ในช่วงวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์ซึ่งส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ (อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบร้อยละ 0.7) แต่ก็ไม่ได้รุนแรงเท่าครั้งนี้ที่คาดกันว่า GDP ในปีนี้จะติดลบร้อยละ 5 ถึงร้อยละ 6 ในช่วงปี 2552 ก็ยังมีการออก พ.ร.ก. ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูและเสริมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. 2552 (ไทยเข้มแข็ง) วงเงิน 400,000 ล้านบาท

การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตและสุขภาพอนามัยของประชาชนทุกสาขาอาชีพในวงกว้าง (Pandemic) การดำเนินมาตรการควบคุมและยับยั้ง การแพร่ระบาด ส่งผลให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจของทุกภาคส่วนทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงันอย่างฉับพลัน นอกจากนี้ ยังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและขยายเป็นวงกว้างทั่วโลก ไม่ใช่เฉพาะประเทศไทย รัฐบาลหลายประเทศได้ดำเนินทั้งนโยบายการคลังและนโยบายการเงิน โดยการกู้เงินจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจ การกู้เงินในช่วงวิกฤตทำให้ระดับหนี้สาธารณะ และสัดส่วนหนี้สาธารณะ/GDP เพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ดี เมื่อปัญหาคลี่คลายและเงินกู้ดังกล่าวช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้นและธุรกิจเติบโต GDP จะเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ปรับตัวลดลงเป็นลำดับ ต่ำกว่าในอดีตเมื่อเกิดวิกฤต ดังเช่นที่ระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้นอยู่ที่ระดับ 59.98 % ในปี 2543 และอยู่ที่ระดับ 42.36 % ในปี 2552 การกู้เงินของรัฐบาลในช่วงที่เกิดการระบาดของ COVID-19 เพื่อแก้ไขปัญหา ช่วยเหลือและเยียวยาทุกภาคส่วนที่ได้รับผลกระทบ ช่วยให้เศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2563 หดตัวลดลงเหลือร้อยละ 5.1ซึ่งดีกว่าที่ IMF คาดการณ์ว่าจะหดตัวที่ร้อยละ 8

นอกจากนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลกู้เงินเพื่อวางรากฐานการพัฒนา สร้างรายได้และเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ขยายโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเป็นการลงทุนด้านคมนาคม สาธารณูปการ และการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม เป็นสำคัญ โดยช่วงปี 2557 – 2564 รัฐบาลได้กู้เงินเพื่อวางรากฐานการพัฒนาสร้างรายได้และเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระจายความเจริญ ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ขยายโอกาสและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน รวมทั้ง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยในปี 2557 – 2564 เป็นช่วงเวลาที่รัฐมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากที่สุดถึง 178 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 2.6 ล้านล้านบาท

โครงการเงินกู้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญที่แล้วเสร็จและเปิดให้บริการแล้ว อาทิ โครงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล และโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั่วประเทศ โครงการพัฒนาระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าทั่วประเทศ โครงการพัฒนาระบบบริหารจัดการทรัพยากรน้ำและก่อสร้างปรับปรุงขยาย การประปาส่วนภูมิภาค นอกจากนี้ ยังมีโครงการเงินกู้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในสาขาต่างๆ ที่อยู่ระหว่างดำเนินการและจะทยอยเปิดให้บริการแก่ประชาชนเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 มีจำนวน 10.37 ล้านบาท หรือคือเป็นร้อยละ 60.41 ต่อ GDP อย่างไรก็ดี ระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) โดยติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจำปีอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับสากลได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยที่ BBB+ Stable Outlook ซึ่งเป็นระดับที่น่าพอใจค่อนข้างมากภายใต้สถานการณ์วิกฤติCOVID-19 ขณะที่หลายประเทศถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือและมุมมองความน่าเชื่อถือ โดยเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565 Moody’s เชื่อว่า แม้หนี้รัฐบาลเพิ่มสูงขึ้นแต่ตัวชี้วัดภาคการคลังและหนี้สาธารณะยังคงแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกลุ่มประเทศอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน และมีแนวโน้มที่จะรักษาระดับความแข็งแกร่งดังกล่าวได้ต่อไป อีกทั้งเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2565 Fitch Ratings รายงานว่า รัฐบาลได้ได้บรรเทาความเสี่ยงของหนี้ภาครัฐบาลด้วยการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบ มีตลาดทุนในประเทศที่มั่นคง และหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาท นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 2565 Japan Credit Rating Agency ได้ปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยจากระดับ A- เป็น A และคงมุมมองความน่าเชื่อถือในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยคาดว่า รัฐบาลไทยจะสามารถรักษาระดับหนี้สาธารณะต่อ GDP ให้อยู่ในระดับต่ำกว่าร้อยละ 70 ได้

website stamp 334

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่าง ๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกระทรวงการคลัง สามารถติดได้ที่เว็บไซต์ https://www.mof.go.th หรือโทร 02 126 5800

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : หนี้สาธารณะคงค้าง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2565 มีจำนวน 10.37 ล้านบาท หรือคือเป็นร้อยละ 60.41 ต่อ GDP อย่างไรก็ดี ระดับหนี้สาธารณะในปัจจุบันยังไม่ก่อให้เกิดปัญหาการคลังแต่อย่างใด เนื่องจากรัฐบาลยังคงมีความสามารถในการชำระหนี้ (Debt affordability) โดยติดตามสัดส่วนภาระดอกเบี้ยต่อประมาณการรายได้ประจำปีอย่างใกล้ชิด

ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด