Customize Consent Preferences

We use cookies to help you navigate efficiently and perform certain functions. You will find detailed information about all cookies under each consent category below.

The cookies that are categorized as "Necessary" are stored on your browser as they are essential for enabling the basic functionalities of the site. ... 

Always Active

Necessary cookies are required to enable the basic features of this site, such as providing secure log-in or adjusting your consent preferences. These cookies do not store any personally identifiable data.

Functional cookies help perform certain functionalities like sharing the content of the website on social media platforms, collecting feedback, and other third-party features.

Analytical cookies are used to understand how visitors interact with the website. These cookies help provide information on metrics such as the number of visitors, bounce rate, traffic source, etc.

Performance cookies are used to understand and analyze the key performance indexes of the website which helps in delivering a better user experience for the visitors.

Advertisement cookies are used to provide visitors with customized advertisements based on the pages you visited previously and to analyze the effectiveness of the ad campaigns.

จำนวนผู้เข้าชม 29,699,569

ครม.อนุมัติเพิ่มมาตรการ EV ดึงค่ายรถยนต์ยุโรปนำเข้าตั้งฐานการผลิตในไทย จริงหรือ?

ตามที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องครม.อนุมัติเพิ่มมาตรการ EV ดึงค่ายรถยนต์ยุโรปนำเข้าตั้งฐานการผลิตในไทย ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง

ครม.เปิดเผยว่า มาตรการสนับสนุน EV ที่ครม.รับทราบในครั้งนี้มี 2 มาตรการ โดยเป็นการปรับมาตรการให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งได้เอามาตรการที่หน่วยงานของกระทรวงการคลังคือกรมสรรพสามิต และกรมศุลกากร ได้ขอให้มีการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการผลิตรถ EV ที่อนุญาตให้มีการนำรถไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ (BEV) จากต่างประเทศเข้ามาขายในไทยได้โดยมีเงื่อนไขในการผลิตรถ EV ในประเทศตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งมาตรการนี้ได้ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมคณะกรรมการยานยนต์ไฟฟ้าเมื่อเดือน ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา

โดยมาตรการที่ ครม.รับทราบในครั้งนี้ ประกอบไปด้วย 2 มาตรการ
1. กำหนดให้กรณีนำเข้ารถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำไม่เกิน 2 ล้านบาท และมีขนาดความจุแบตเตอรี่ตั้งแต่ 10 กิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) ขึ้นไป ต้องผลิตรถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน หรือรถยนต์กระบะ ประเภท BEV รุ่นใดก็ได้ เพื่อชดเชยการนำเข้า
2. กรณีนำเข้ารถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ประเภท BEV ที่มีราคาขายปลีกแนะนำมากกว่า 2 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 7 ล้านบาท และมีขนาดความจุแบตเตอรี่ตั้งแต่ 30 kWh ขึ้นไป ซึ่งกำหนดให้ต้องผลิตชดเชยรุ่นใดรุ่นหนึ่งที่ได้นำเข้า หากมีกรณีที่ผู้ขอรับสิทธิได้นำเข้ารถยนต์รุ่นที่ได้รับสิทธิและผลิตชดเชยรุ่นเดียวกับรถยนต์ที่ได้นำเข้าและได้รับสิทธิ์ แม้จะมีเลขซีรีส์ที่ต่างกัน ถือเป็นการผลิตชดเชยรถยนต์รุ่นเดียวกับรถยนต์ที่ได้รับสิทธิ

การปรับมาตรการในส่วนนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์ 2 อย่าง อย่างแรกสำหรับค่ายรถยนต์ที่มีการเปลี่ยนรุ่นและซีรีส์ในการผลิตรถอยู่เป็นระยะ เช่น กรณีของค่ายรถเบนซ์ หรือ BMW อาจนำเข้ารถ EV ที่เป็นซีรีส์ปัจจุบันเข้ามาขาย แต่เมื่อจะผลิตชดเชยในประเทศจะต้องผลิตรถรุ่นใหม่กว่าเดิม หรือรถที่มีการเปลี่ยนซีรีส์แล้วซึ่งเงื่อนไขแบบนี้จะจูงใจให้ค่ายรถยนต์สนใจที่จะเข้าร่วมโครงการได้มากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ในเงื่อนไขที่ระบุในการผลิตรถ EV ทดแทนการนำเข้าได้ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขจากเดิมที่ต้องผลิตรถ EV เหมือนกับที่นำเข้าให้เป็นการผลิตรถกระบะไฟฟ้าทดแทนได้เช่นกัน เนื่องจากประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะส่งเสริมการผลิตรถกระบะไฟฟ้าให้กลายเป็นโปรดักส์แชมป์เปี้ยนเหมือนที่สามารถผลิตรถกระบะจนส่งออกไปหลายประเทศทั่วโลก

ครม.ยังรับทราบมาตรการที่บอร์ด EV ได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพื่อส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า สามารถสรุปผลการดำเนินงาน ประกอบด้วย
1. ด้านอุปทาน (Supply) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้เปิดให้การส่งเสริมการลงทุนการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและการผลิตชิ้นส่วน 17 ชิ้น รวมทั้งการผลิตแพลตฟอร์มสำหรับยานยนต์ไฟฟ้าและการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า โดยมีผู้ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า (Battery Electric Vehicle : BEV) จำนวน 15 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 2.77 หมื่นล้านบาท ผู้ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้า จำนวน 77 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 1.84 หมื่นล้านบาท และผู้ได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุนในกิจการสถานีอัดประจุไฟฟ้า จำนวน 4 โครงการ มูลค่าการลงทุนรวม 2,174 ล้านบาท ครอบคลุมหัวชาร์จปกติ (Normal Charge) จำนวน 5.076 จุด และหัวชาร์จเร็ว (Quick Charge) จำนวน 3,960 จุด

2. ด้านอุปสงค์ (Demand) กรมสรรพสามิตได้กำหนดมาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ (EV3) โดยมีผู้ประกอบการเข้าร่วมทั้งสิ้น 12 ราย ประกอบด้วย ผู้ผลิตรถยนต์และรถกระบะ จำนวน 9 ราย (GWM, TOYOTA, SAIC- MOTOR, MG, BYD, BENZ, NETA, MINE และ GREEN FILTER) และผู้ผลิตรถจักรยานยนต์ จำนวน 3 ราย (HONDA, DECO และ HSEM) นอกจากนี้ สำนักงบประมาณได้กำหนดแนวทางให้หน่วยงานภาครัฐสามารถจัดซื้อจัดจ้าง และการเช่ารถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ามาใช้ในภารกิจแทนรถยนต์เดิมที่หมดอายุการใช้งาน หรือที่จะต้องจัดซื้อจัดจ้างขึ้นใหม่ เพื่อรองรับภารกิจใหม่หรือผู้ดำรงตำแหน่งใหม่ รวมทั้งเพิ่มเติมรถยนต์ไฟฟ้าเข้าไปในบัญชีราคามาตรฐานครุภัณฑ์ในส่วนของรถยนต์นั่งส่วนกลาง

3. ด้านโครงสร้างพื้นฐาน สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมได้กำหนดมาตรฐานยานยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วน และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง รวม 123 มาตรฐาน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้า และสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ได้คุณภาพ และมีความปลอดภัยตามหลักมาตรฐานสากล รวมทั้ง เปิดให้บริการทดสอบยานยนต์ ยางล้อ และแบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้าตามมาตรฐาน UN R100 และ UN R136 ณ ศูนย์ทดสอบยานยนต์และยางล้อแห่งชาติ (Automotive and Tyre Testing, Research and Innovation Center : ATTRIC) ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดฉะเชิงเทรา

website 2076

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ https://www.prd.go.th/ โทร. 0 2618 2323

ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด