mobile-menu
search icon mobile
search on header

<p>

จำนวนผู้เข้าชม 21,067,351
</p>

ครม. อนุมัติลดภาษีสำหรับรถรับจ้าง รถแท็กซี่ รถสามล้อ และรถจักรยานยนต์รับจ้าง เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายนาน 1 ปี จริงหรือ?

ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องครม. อนุมัติลดภาษีสำหรับรถรับจ้าง รถแท็กซี่ รถสามล้อ และรถจักรยานยนต์รับจ้าง เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายนาน 1 ปี ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง

คณะรัฐมนตรีอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ฎ. ลดภาษีประจำปีสำหรับรถยนต์รับจ้าง รถยนต์รับจ้างสามล้อ และรถจักรยานยนต์สาธารณะตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ พ.ศ. …. เพื่อช่วยลดต้นทุนการประกอบการรถสาธารณะทั้งรถยนต์รับจ้าง (แท็กซี่) รถยนต์รับจ้างสามล้อ และรถจักรยานยนต์สาธารณะ บรรเทาภาระค่าใช้จ่ายจากราคาพลังงานโลกที่มีการปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากวิกฤติพลังงานรอบใหม่ ทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซธรรมชาติจากสงครามการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการนำเข้าพลังงานถึงร้อยละ 75 ส่งผลให้ต้นทุนการประกอบการของรถสาธารณะเพิ่มสูงขึ้น และกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบอาชีพที่อาจจะไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต

ทั้งนี้ ร่างพ.ร.ฎ.ฯ มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดให้ลดอัตราภาษีรถประจำปีสำหรับรถยนต์รับจ้าง รถยนต์รับจ้างสามล้อและรถจักรยานยนต์สาธารณะ ที่ครบกำหนดเสียภาษีรถประจำปีระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 65 ถึง 30 กันยายน 66 ลงร้อยละ 90 ของอัตราภาษีประจำปีท้ายพ.ร.บ. รถยนต์พ.ศ. 22 ดังนี้

– รถยนต์รับจ้าง (รถแท็กซี่) มีน้ำหนักรถ 1,300 กก. เสียภาษี 68.50 บาทจากเดิม 685 บาท น้ำหนักรถ 2,000 กก. เสียภาษี 106 บาทจากเดิม 1,060 บาท

– รถยนต์รับจ้างสามล้อ น้ำหนัก 500 กก. เสียภาษี 18.50 บาท จากเดิม 185 บาท

รถจักรยานยนต์สาธารณะ (อัตราภาษีจะคิดต่อคัน) เสียภาษี 10 บาท จากเดิม 100 บาท

ซึ่งมาตรการลดอัตราภาษีในครั้งนี้ทำให้รัฐสูญเสียรายได้ประมาณ 70,257,501.07 บาท หรือคิดเป็นร้อยละ 0.197 ของภาษีของรถทุกประเภททั้งหมดที่จัดเก็บ จึงส่งผลกระทบต่อรายได้ของกทม. และอปท. เพียงเล็กน้อยแต่สามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนและภาระค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบอาชีพขับรถสาธารณะได้อีกมาตรการหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมารัฐบาลได้ดำเนินการเยียวยาโครงการช่วยเหลือกลุ่มอาชีพ รถแท็กซี่ และรถยนต์สาธารณะที่มีอายุเกิน 65 ปี ที่อยู่ในกลุ่มแรงงานนอกระบบและไม่เป็นผู้ประกันตน ตาม ม.33 ม. 39 และม. 40 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัด ไปแล้ว รวม 16,694 คน (แท็กซี่ จำนวน 12,918 คนและวินมอเตอร์ไซค์ จำนวน 3,776 คน) โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือค่าครองชีพคนละ 5,000 บาท/เดือน รวม 16,694 คน ภายใต้กรอบวงเงิน 166.94 ล้านบาท แล้ว

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากกรมประชาสัมพันธ์ สำนักนายกรัฐมนตรี สามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.prd.go.th หรือโทร. 02 618 2323

ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด