ตามที่มีข่าวปรากฏใน webpage ต่างๆ เกี่ยวกับเรื่อง ข้าวเหนียวที่ใส่ไว้ในกระติกน้ำพลาสติก หากรับประทานจะทำให้อันตราย!! ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยหน่วยงาน สำนักคุณภาพและความปลอดภัยอาหาร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ข้อมูลข่าวที่ปรากฏดังกล่าว เป็นข่าวจริง
1. คำถาม การนำกระติกน้ำแข็งมาใส่ข้าวเหนียวนึ่งอันตรายหรือไม่?
ตอบ กระติกน้ำแข็งส่วนใหญ่ประกอบด้วยพลาสติก 3 ชั้น
– ชั้นนอกเป็นพลาสติกแข็งขึ้นรูป อาจจะเสริมโลหะบ้าง
– ชั้นกลางเป็นฉนวนกันความร้อนมักใช้โฟมโพลิยูริเทน
– ชั้นในสุด ส่วนใหญ่เป็นพลาสติกชนิด โพลิเอทิลีน ( PE ) ทนความร้อนได้ 80-100 C
วัตถุประสงค์ของการผลิตกระติกน้ำแข็งเพื่อเก็บความเย็นให้คงอยู่นาน ไม่เหมาะต่อการบรรจุ ของร้อนจัด เช่น น้ำเดือด เพราะอาจจะทำให้พลาสติกอ่อนตัวได้ เสื่อมสภาพเร็วยิ่งขึ้น และอาจมีสารเคมีที่เป็นส่วนประกอบของพลาสติก หลุดออกมาได้
– กรณีที่แม่ค้านำกระติกน้ำแข็งมาใส่ข้าวสุกหรือข้าวเหนียวนึ่งร้อนๆนั้น คาดว่าอุณหภูมิประมาณ 70 C – 80 C และมีการห่อด้วยผ้าขาวบางก่อน 1 ชั้น โอกาสที่จะได้รับสารเคมีที่จะหลุดออกมาไม่มากเท่ากับการสัมผัสกับพลาสติกโดยตรง หรือการบรรจุของเหลวร้อนๆ แต่อาจไม่เหมาะสมเพราะจะทำให้พลาสติกเสื่อมสภาพได้เร็วยิ่งขึ้น การซื้อกระติกน้ำแข็งมาใช้ให้สังเกตฉลาก มักจะกำหนดอุณหภูมิการใช้งานไว้
- อันตรายจากสารปนเปื้อนที่มากับพลาสติกมีอะไรบ้าง
พลาสติกทุกชนิดทำมาจากสารเคมี มีการใช้สารเคมีหลายชนิดในขบวนการผลิต ย่อมจะมีสารเคมีที่ตกค้างอยู่ในเนื้อพลาสติกได้ มากน้อยต่างกันขึ้นอยู่กับขบวนการผลิต และชนิดของวัตถุดิบที่ใช้ ภาชนะพลาสติกบรรจุอาหาร มีกฎข้อบังคับเพื่อควบคุมการผลิต คือวัตถุดิบที่นำไปใช้ในการผลิตต้องได้มาตรฐานมีขบวนการตรวจสอบ และมีการรับรอง และ เมื่อผลิตมาเป็นภาชนะแล้ว ต้องมั่นใจว่าไม่มีการละลายออกมาของสารเคมีอันตรายที่มีอยู่ในพลาสติก ลงมาสู่อาหารที่จะบรรจุ จนก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอาหาร หรือ มีสารเคมีละลายออกมามากจนเกินระดับปลอดภัย ต่อการบริโภคอาหารนั้น จึงต้องมีหน่วยงานที่ทำการตรวจสอบความปลอดภัยของภาชนะบรรจุ และสัมผัสอาหารเมื่อนำมาบรรจุอาหาร
พลาสติกที่นิยมบรรจุอาหารมีหลายประเภท อาจกล่าวได้ว่าภัยหรืออันตรายจากพลาสติกจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยปัจจัยที่เกี่ยวกับการใช้งานเป็นส่วนใหญ่คือ
- การใช้งานที่ไม่ถูกต้อง คือ พลาสติกมีความทนทานต่อปัจจัยทางด้านการใช้งานที่ต่างกัน เช่นความร้อน ลักษณะของอาหารที่มีไขมัน หรืออาหารที่เป็นกรด เนื้อพลาสติกซึ่งเป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่ ส่วนใหญ่จะไม่มีผลต่อร่างกายเพราะไม่สามารถดูดซึมได้ง่าย ขณะที่สารเติมแต่งหรือโมโนเมอร์ตกค้าง ซึ่งมีโมเลกุลเล็ก จะมีผลต่อร่างกายมากกว่า อาหารที่มีความเป็นกรดสูง เช่น พริกดองน้ำส้มสายชู ไม่ควรใส่แช่ค้างไว้ในภาชนะพลาสติกนานๆ เพราะโดยธรรมชาติแล้ว อาหารประเภทกรดจะสามารถชะสารเคมีต่างๆจากพลาสติกได้มากกว่าอาหารที่มีกรดต่ำ อาหารประเภทไขมัน เช่นน้ำมันพืช หรือน้ำมันสัตว์ต่างๆ ควรบรรจุในภาชนะพลาสติกที่เหมาะสม เช่น ขวด PET เพราะพลาสติกบางชนิดจะมีการละลายออกมาของสารเคมีได้มากเมื่อตัวทำละลายเป็นไขมัน
- สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ ไม่มีการตรวจสอบและรับรองจากหน่วยงานที่ควบคุมดูแลด้านนี้ เช่น สมอ. และมักไม่มีฉลาก ซึ่งภาชนะเหล่านี้มักมีราคาถูก แต่อาจจะมีการตกค้างของสารเคมีอันตรายเกินค่ามาตรฐานได้เช่นมีตะกั่วในเนื้อพลาสติกเกินค่ามาตรฐาน หรือ มีสีละลายออกมา หรือมีสารต่างๆ ละลายออกมาเกินมาตรฐานเมื่อนำไปบรรจุของเหลว หรืออาจจะมีกลิ่นของสารเคมีที่มากเกินการยอมรับได้ สิ่งเหล่านี้เกิดจากการที่ไม่มีการควบคุมการผลิตที่ดี ซึ่งผู้ใช้ต้องสังเกตและเลือกใช้ด้วย
- การใช้งานที่ผิดวัตถุประสงค์ เรื่องนี้บางครั้งก็เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ เช่น นำภาชนะที่เคยบรรจุสารฆ่าแมลง หรือสารเคมีมาก่อน มาใส่อาหารทำให้สารอันตรายที่ตกค้างอยู่ออกมาปนเปื้อนกับอาหาร หรือใช้ภาชนะที่ทำขึ้นเพื่อกิจกรรมอื่นเช่น กาละมังซักผ้า ถังใส่ขยะ ถุงดำบรรจุขยะนำมาใส่อาหาร พลาสติกเหล่านี้อาจทำมาจากพลาสติกรีไซเคิล หรือเป็นเรซินที่ไม่ใช่เกรดที่ใช้กับอาหาร ซึ่งไม่มีการตรวจสอบความปลอดภัยก่อนนำมาใช้งาน หรือการนำท่อน้ำมาทำเป็นภาชนะหุงต้ม ก็อาจจะได้รับอันตรายจากสารเคมีที่ละลายออกมาได้
- การดูแลรักษา การล้างทำความสะอาด ขัดถูภาชนะ ต้องระมัดระวัง การขูด ทำลายของผิวภาชนะทำให้เป็นที่สะสมของเศษอาหาร ล้างทำความสะอาดได้ยาก เป็นแหล่งที่อยู่ของเชื้อโรค ซึ่งอาจจะปนเปื้อนกับอาหารได้ และไม่ควรนำภาชนะพลาสติกไปผึ่งแดดนานๆ เพราะรังสี UV จะทำให้พลาสติกเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
- การเลือกซื้อ เลือกซื้อสินค้าที่มีฉลาก หรือที่มีเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความมั่นใจในสินค้าเหล่านั้นว่ามีการตรวจสอบดูแล โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแล้วระดับหนึ่ง และปฏิบัติตามคำแนะนำที่แจ้งไว้อย่างเคร่งครัดสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร Call Center 0-2951-0000
หน่วยงานที่ตรวจสอบ : กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข