mobile-menu
search icon mobile
search on header

<p>

จำนวนผู้เข้าชม 20,942,470
</p>

ข่าวปลอม อย่าแชร์! เป็นแผลแล้วกินไข่ ทำให้แผลเป็นนูน

ตามที่มีข่าวปรากฏในสื่อต่างๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่อง เป็นแผลแล้วกินไข่ ทำให้แผลเป็นนูน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีที่มีการแชร์ข้อความว่า หากเกิดแผลแล้วรับประทานไข่ จะทำให้เกิดแผลเป็นนูนนั้น ทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ได้ชี้แจงว่า การรับประทานไข่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดแผลเป็นนูน ระหว่างเกิดบาดแผลสามารถรับประทานไข่ได้ในปริมาณที่เหมาะสม โดยแผลเป็นนูนมี 2 ชนิด คือ
1. แผลเป็นนูนเกิน ที่แผลจะนูนขึ้นมาแต่ไม่ขยายเกินขอบเขตของบาดแผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วสามารถกลับมาใกล้เคียงกับแผลเป็นปกติได้ภายใน 1 ปี ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด
2. แผลเป็นคีลอยด์ แผลจะนูนขึ้นมา และขยายเกินขอบเขตของบาดแผล เมื่อเกิดขึ้นแล้วแผลจะนูนและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา ซึ่งแผลเป็นชนิดนี้มีสาเหตุมาจากการที่ร่างกายสร้างเนื้อเยื่อ และคอลลาเจนเพื่อซ่อมแซมบาดแผลมากเกินไป อีกทั้งพันธุกรรมก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดแผลเป็นคีลอยด์เช่นกัน

แผลเป็นสามารถรักษาได้หลายวิธี เช่น ผ่าตัด ใช้สเตียรอยด์แบบฉีด ซึ่งวิธีเหล่านี้ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ สำหรับวิธีที่สามารถดูแลแผลเป็นด้วยตัวเอง ทำได้ด้วยการใช้แผ่นแปะลดรอยแผลเป็นได้แก่ แผ่นซิลิโคน (Silicone) ใช้หลังเกิดแผลสดหายดีแล้ว โดยปิดแผลเป็นตลอด 24 ชั่วโมงนาน 3 เดือน, แผ่นเทปเหนียว (Microporous) ใช้ปิดลงบนแผลเป็น โดยอุปกรณ์ทั้งสองชนิดนี้จัดเป็นเครื่องมือแพทย์ สามารถซื้อและขอรับคำปรึกษาในการใช้แผ่นแปะลดรอยแผลเป็นจากเภสัชกรได้ตามร้านขายยาทั่วไป เพราะการดูแลแผลอย่างถูกวิธี และการนวดบริเวณแผลเป็น เป็นประจำในระหว่าง 6 เดือนแรก จะช่วยลดการขยายตัวและการนูนตัวของแผลเป็นได้

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อมูลดังกล่าว และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ หรือหากพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่เว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือสายด่วน 1556

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : การรับประทานไข่ไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดแผลเป็นนูน ระหว่างเกิดบาดแผลสามารถรับประทานไข่ได้ในปริมาณที่เหมาะสม

หน่วยงานที่ตรวจสอบ : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข

  หน่วยงานที่ตรวจสอบ

ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด