mobile-menu
search icon mobile
search on header

<p>

จำนวนผู้เข้าชม 20,922,671
</p>

ข่าวบิดเบือน กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ผู้เสพไม่มีโทษ เปลี่ยนข้อหาครอบครองเป็นครอบครองเพื่อเสพ มีผลบังคับใช้วันที่ 7 ธ.ค. 2564

ตามที่มีการเผยแพร่ข้อมูลประเด็นเรื่อง กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ผู้เสพไม่มีโทษ เปลี่ยนข้อหาครอบครองเป็นครอบครองเพื่อเสพ มีผลบังคับใช้วันที่ 7 ธ.ค. 2564 ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย สำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลบิดเบือน

กรณีที่มีการโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียระบุว่า สรุปประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ผู้เสพไม่มีโทษ “จากโรงพักสู่โรงพยาบาล”เปลี่ยนข้อหาครอบครองเป็นครอบครองเพื่อเสพ มีผลบังคับใช้ในวันที่ 7 ธันวาคม 2564 นั้น ทางสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม กระทรวงยุติธรรมได้ตรวจสอบโพสต์ดังกล่าวและชี้แจงว่า เนื้อหาบางส่วนถูกต้อง แต่ข้อความหัวเรื่องของโพสต์ดังกล่าวให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนและไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิดได้ โดยข้อเท็จจริง มีดังนี้

นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) กล่าวถึงสาระสำคัญ เรื่อง “ผู้เสพ คือ ผู้ป่วย” ตามประมวลกฎหมายยาเสพติดที่มีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมานั้น

การเสพยาเสพติด ยังคงมีโทษอยู่ (ม.162,163) แต่หากผู้เสพสมัครใจเข้ารับการบำบัดรักษา และดำเนินการเข้ารับการบำบัดจนครบถ้วน ก็จะไม่มีความผิด ทั้งนี้ บทลงโทษทางกฎหมายยังคงมีอยู่ ซึ่งกฎหมายนี้มีเจตนารมย์ที่จะช่วยเหลือ ให้เข้ารับบำบัดโดยไม่เอาผิดทางอาญา หรือการลดการเป็นอาชญากรรมของผู้เสพ (decriminalization) “มองผู้เสพ เป็นผู้ป่วย” ใช้กระบวนการทางสาธารณสุขและสุขภาพในการแก้ไขปัญหาผู้เสพผู้ติด

โดยหลักขอให้เข้าใจ ดังนี้

1. กรณีความผิดฐานเสพ และครอบครองเพื่อเสพ กฎหมายยังคงกำหนดเป็นข้อหาเสพ มีโทษจำคุก 1 ปี ครอบครองเพื่อเสพ มีโทษจำคุก 2 ปี (ครอบครองในปริมาณเล็กน้อยไม่เกินปริมาณที่กำหนดตามข้อสันนิษฐานที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดในกฎกระทรวง)

2. ผู้เสพ และครอบครองเพื่อเสพที่ตำรวจตรวจพบ โดยไม่ได้เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีอื่นที่มีโทษจำคุก หรืออยู่ระหว่างรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล ไม่มีพฤติกรรมที่อาจก่ออันตรายกับผู้อื่น และผู้นั้นยินยอมเข้าสู่การบำบัดรักษา กฎหมายให้สิทธิแก่ผู้นั้น โดยให้ตำรวจนำตัวมายังศูนย์คัดกรอง เพื่อประเมินการติดยาเสพติด และส่งเข้ารับการบำบัดรักษาที่สถานพยาบาล หรือสถานฟื้นฟู โดยไม่ต้องนำตัวไปส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดี ทั้งนี้ หากผู้นั้นเข้ารับการบำบัดครบถ้วนตามโปรแกรม และได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ผ่านการบำบัดฯ ก็ให้ผู้นั้นไม่มีความผิด

3. ผู้ที่ไม่ยินยอมเข้ารับการบำบัด หรือไม่เข้าเงื่อนไขที่จะได้รับการบำบัดตามข้อ 2 จะถูกส่งตัวไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีและส่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแขวง โดยกฎหมายจะให้อำนาจศาลพิจารณาโดยเน้นการส่งตัวไปบำบัดรักษา

ผู้เข้ารับการบำบัดฟื้นฟู และผู้ผ่านการบำบัดฟื้นฟูกฎหมายนี้ให้มีศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคม เข้ามาให้การสงเคราะห์ ดูแล ช่วยเหลือ ฝึกอาชีพให้ที่อยู่ชั่วคราว เพื่อให้คนเหล่านี้ ไม่กลับไปเสพยาเสพติดอีก และขอให้เข้าใจว่า สำหรับข้อหาครอบครองเพื่อเสพ เป็นการกำหนดขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นคุณแก่ผู้เสพ ที่มียาเสพติดไว้ในครอบครองในปริมาณเล็กน้อยสำหรับเสพของตนเอง ซึ่งกฎหมายนี้ จะถือเป็นผู้ป่วยที่จะได้รับการดูแลบำบัดรักษา แทนการถูกดำเนินคดีอาญา หรือการลงโทษจำคุก

ตามนโยบายของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ำการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปราบยาเสพติด ซึ่งประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่นี้ ปรับแนวคิดเพื่อให้ทันสมัยและเป็นสากล สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติและแผนการปฏิรูปประเทศรวมทั้งปรับปรุงบทบัญญัติให้สอดคล้องกับผลการประชุมสมัชชาสหประชาชาติสมัยพิเศษว่าด้วยปัญหายาเสพติดโลก (United Nations General Assembly Special Session on the world drugs Problem-UNGASS 2016) โดยยึดหลัก “ผู้เสพ” คือ “ผู้ป่วย”

ดังนั้นข้อมูลที่มีการโพสต์ และแชร์ต่อในขณะนี้ จึงเป็นข้อมูลบิดเบือน ขอความร่วมมือประชาชน ไม่แชร์ ไม่ส่งต่อข่าวดังกล่าว เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และเพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ที่เว็บไซต์ www.moj.go.th หรือโทร. 02 1415100

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ประมวลกฎหมายยาเสพติด มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 64 ไม่ใช่วันที่ 7 ธ.ค. โดยผู้เสพ หรือมีครอบครองเพื่อเสพ ยังมีความผิดทางกฎหมายอยู่ (ม.162,163) แต่ถ้ายินยอมเข้ารับการบำบัดจนครบตามโปรแกรม และได้รับการรับรองว่าเป็นผู้ผ่านการบำบัดฯ ทำให้ผู้นั้นไม่มีความผิด ส่วนผู้ที่ไม่ยินยอมจะถูกดำเนินคดีและส่งพนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลแขวง

ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด