mobile-menu
search icon mobile
search on header

<p>

จำนวนผู้เข้าชม 21,085,210
</p>

กระทรวงอุตฯ คุมผู้ทำและผู้นำเข้าคาร์ซีท ต้องได้มาตรฐาน มอก. ให้มีผลบังคับใช้ภายในปี 2566 จริงหรือ ?

ตามที่มีข้อความปรากฏในสื่อต่าง ๆ เกี่ยวกับประเด็นเรื่องกระทรวงอุตฯ คุมผู้ทำและผู้นำเข้าคาร์ซีท ต้องได้มาตรฐาน มอก. ให้มีผลบังคับใช้ภายในปี 2566 ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กระทรวงอุตสาหกรรม พบว่าประเด็นดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลจริง 

กระทรวงอุตสาหกรรมห่วงใยความปลอดภัยของเด็กเล็ก เตรียมประกาศให้ “คาร์ซีท” ทุกยี่ห้อเป็นสินค้าควบคุมตามมาตรฐาน มอก. เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยผู้บริโภคโดยเฉพาะเด็กเล็กให้ได้ใช้คาร์ซีทที่ได้มาตรฐาน เร่ง สมอ. ทำประชาพิจารณ์ทั้งผู้ทำและผู้นำเข้า ให้มีผลบังคับใช้ภายในปี 2566

มติการประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา เห็นชอบให้คาร์ซีทหรือที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กซึ่งเป็นอุปกรณ์เสริมใช้สำหรับให้เด็กนั่งโดยสารบนรถยนต์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยเป็นสินค้าควบคุม เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยแก่ประชาชนโดยเฉพาะเด็กเล็ก ซึ่งสอดคล้องตามภารกิจของกระทรวงอุตสาหกรรมด้านการคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่ได้มาตรฐาน โดยเตรียมออกกฎหมายเพื่อควบคุมให้ผู้ทำและผู้นำเข้าคาร์ซีททุกราย ต้องทำและนำเข้าเฉพาะคาร์ซีทที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยตามเกณฑ์มาตรฐาน มอก. เท่านั้น เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน และเป็นตัวช่วยสำคัญในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าของประชาชนผู้บริโภค

สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ประกาศใช้มาตรฐานที่นั่งนิรภัยสำหรับเด็กหรือคาร์ซีท มอก.3418-2565 เป็นมาตรฐานทั่วไปตั้งแต่เดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยอ้างอิงมาจากมาตรฐานสากล UN R 44 ซึ่งเป็นมาตรฐานระหว่างประเทศด้านความปลอดภัยบนท้องถนนที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ผู้ประกอบการจะสมัครใจขอการรับรองหรือไม่ก็ได้ และเพื่อยกระดับการคุ้มครองความปลอดภัยประชาชนทุกระดับ ในการประชุมบอร์ด กมอ. เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา จึงได้เห็นชอบให้สมอ. กำหนดให้คาร์ซีทเป็นสินค้าควบคุม พร้อมทั้งเร่งรัดดำเนินการบังคับใช้ให้ทันภายในปี 2566 เพื่อให้ประชาชนผู้บริโภคโดยเฉพาะเด็กเล็ก ได้รับความปลอดภัยในการใช้งานคาร์ซีทที่ผ่านการทดสอบความปลอดภัยตามมาตรฐาน โดยให้ดำเนินการควบคู่ไปกับการแจ้งให้ผู้ประกอบการ ทั้งผู้ทำและผู้นำเข้าได้มีระยะเวลาในการเตรียมตัวในการขออนุญาตทำหรือนำเข้า เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง

มาตรฐานคาร์ซีทดังกล่าวครอบคลุมคาร์ซีทที่ติดตั้งด้วยระบบ ISOFIX หรือ ระบบเข็ดขัดนิรภัยของรถยนต์ โดยแบ่งตามน้ำหนักของเด็กเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่

  1. น้ำหนักไม่เกิน 10 กิโลกรัม 
  2. น้ำหนักไม่เกิน 13 กิโลกรัม 
  3. น้ำหนัก 9-18 กิโลกรัม
  4. น้ำหนัก 15-25 กิโลกรัม  
  5. น้ำหนัก 22-36 กิโลกรัม 

ซึ่งต้องผ่านการทดสอบด้วยการจำลองสถานการณ์การเกิดอุบัติเหตุ โดยการชนด้านหน้าด้วยความเร็ว 50 กม./ชม. และด้านหลังด้วยความเร็ว 30 กม./ชม. โดยติดเซ็นเซอร์ไว้ที่หุ่นเด็กจำลอง เพื่ออ่านค่าความรุนแรงจากการกระแทก

โดยจะรายงานผลออกมาเป็นความเสียหายหรืออาการบาดเจ็บตามจุดต่างๆ ของร่างกาย ต้องไม่เกินเกณฑ์ที่มาตรฐานกำหนดไว้ ซึ่งผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าคาร์ซีทที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน มอก. 3418-2565 จะช่วยคุ้มครองลูกหลานของท่านให้ได้รับความปลอดภัยในการเดินทางอย่างแน่นอน สำหรับการบังคับใช้มาตรฐาน สมอ. จะเร่งรัดดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หลังจากนี้ จะทำประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนได้เสียหรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้อง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมประกาศบังคับใช้ได้ภายในปี 2566

website stamp 342

ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารจากสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) สามารถติดตามข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ https://www.tisi.go.th/ หรือโทร. 02 202 3300

ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด